(っ´ ▽ ` )っ

สืบเนื่องมาจากทวีตนี้ ที่เปิดให้ถามอะไรก็ได้ และเกิดเป็นคำถามนี้ขึ้นมา จึงยกมาตอบไว้ในนี้ ถามมาเราก็ตอบค่ะ แต่มันไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นะคะ (っ´▽`)っ

ว่าแต่ที่เห็นนั่นเป็นสามีเราแน่ๆ หรือคะ ไม่ใช่ใครอื่นนะ Σ(・ω・´ノ)ノ แต่ถ้าเป็นคนตัวสูงๆ เกินหกฟุต หุ่นนักรักบี้ หน้าตาโหดๆ ขรึมๆ ดูดุๆ อืม – ดูเหมือนเรล์ฟ ไฟนน์สมัยหนุ่มแต่ห่างไกลจากความหล่อ (!?) และโครงหน้าดูเหมือนจะเคยโดยอุบัติเหตุสะบักสะบอมมาหนักหน่วง (นักรักบี้โรงเรียนน่ะค่ะ แถมยังเคยโดนไม้โปโลฟาดกรามหัก… ouch) มองแล้วเหมือนเป็นเจ้าพ่อหนังมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลมากกว่า Judge ถ้าเป็นอย่างที่พูดมานี้ก็คงใช่นะคะ คุณเอพรู้จัก Greg Davies นักแสดงตลกไหมคะ คุณสามีตัวสูงใหญ่ หุ่นแบบเดียวกับคุณ Greg Davies นั่นแหละค่ะ ถ้าเขารูปร่างแบบนั้น สูงประมาณ 6’2’’ และเหมือนเรล์ฟ ไฟนน์ที่ไม่ charming แต่น่ากลัว นั่นแหละค่ะ ถูกต้องแล้ว

ต้องเท้าความก่อนว่าเราห่างกับสามีหลายปีมากๆ เป็น age gap ที่เยอะน่าดูจนอาจทำให้ตกใจ เราควรต้องบอกก่อนคุณจะจินตนาการอะไรแปลกๆ ใช่ไหมนี่ สิบเอ็ดปีค่ะ เขาอายุมากกว่าเราสิบเอ็ดปี เยอะจนต้องเลิกคิ้วและทำหน้าประหลาดเลยใช่ไหมล่ะคะ ทั้งนี้เรื่องที่ฟังจากนี้อาจจะทำให้รู้สึกประหลาดหลายครั้งทีเดียวค่ะ คุณสามีอายุเท่ากับพี่ชายเราและด้วยวงสังคมทำให้ตอนเรายังเด็ก เขาเคยเจอเรามาแล้วเวลามีงานโปโล แต่เราไม่รู้ ตอนนั้นเราอายุแปดหรือเก้าขวบได้เนี่ยแหละค่ะ เขาเห็นเราว่าเป็นน้องสาวพิลึกที่ดู mature แปลกเด็กของเพื่อนร่วมชั้น (คุณสามีเรียนอีตันปีเดียวกับพี่ชายเรา ตัวสูงใหญ่เหมือนกัน ผลการเรียนติดท็อปเหมือนกัน เป็นพรีเฟคเหมือนกัน คนหนึ่งอยู่ชมรมรักบี้อีกคนอยู่ชมรมพายเรือ ข่มกันไม่ลง เป็นคู่ปรับ แข่งขันกันมาตลอด) เขามาเล่าทีหลังจริงๆ ครั้งแรกที่พบเราคือเห็นเรานั่งเคี้ยวคิทแคทไม่พูดไม่จา ไม่สนใจความวุ่นวายอะไรทั้งสิ้น ดูตลกดี เขาก็เลยเรียกเราว่าคิทแคทมาจนถึงทุกวันนี้… เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังก็จะเรียกเราว่าคิทแคทค่ะ (เป็น pet name ระหว่างกัน เราก็จะเรียกเขาว่า Mr Snowman มาจากที่เขาดูขรึมๆ เยือกเย็น /อา หนาว เป็นคนดูเย็นชาแต่จริงๆ แล้ว snowman น่ารัก เข้ากับเด็กๆ และเป็นมิตรใช่ไหมล่ะคะ ก็เลยเป็น Mr Snowman) ตอนเขาเรียกเราคิทแคทครั้งแรกตอนที่เขารู้ครั้งแรกว่าที่จริงเราเป็นน้องสาวของคู่ปรับสมัยเรียนเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่ามาจากเหตุผลนี้ จนเขามาเล่าให้ฟังทีหลังสมัยเริ่มเดทกันว่าเคยเจอเรามาแล้วนะแต่เราไม่รู้ (นับถือที่เขายังอุตส่าห์จำได้…) เขามาเจอเราอีกทีตอนเราเข้าเรียนที่ออกซฟอร์ดค่ะ (คนไทยมักอ่านแบบนี้ แต่จริงๆ ต้องอ่านออกซเฟิด แต่เวลาใช้ภาษาไทย ถ้าเขียนออกซเฟิดคนจะนิ่วหน้า ดังนั้น ชื่อ, สถานที่ หรือหลายๆ คำเราใช้ก็เลยต้องเขียนอ้างอิงเสียงคนไทย ไม่ใช่เสียงจริงๆ ถึงจะมีตะหงิดๆ บ้างแต่ก็กลัวจะโดนหมันไส้และไม่เข้าใจมากกว่า Σ(・∪・´ノ)ノ) ตอนนั้นเราเป็นสมาชิก choir แล้ววันนั้นบังเอิญมีงานที่เมอร์ตันชาเพล เขาที่เป็นศิษย์เก่าวิทยาลัยเมอร์ตันของออกซฟอร์ดก็แวะเวียนมา ตอนนั้นเราร้องเพลง miserere mei deus แล้วเรารับหน้าที่ร้องท่อน et secundum multitudinem… (blahblah) ที่ต้องร้องเดี่ยว เขาเล่าให้ฟังว่าตอนได้ยินเราร้องขึ้นมาเหมือนได้ยินอะไรสักอย่างสะกิดใจ something age-old ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ มาตลอดอะไรแบบนั้น แล้วพอหันมองว่าใครร้องแล้วเห็นเราก็รู้ความหมายของ love at first sight ทันที (ขะ เขินจังค่ะ อย่าเพิ่งหมันไส้นะคะ Σ(´∪`ノ)ノ) เขาบอกว่าหลังจากนั้นก็เลยแอบไปถามเพื่อนว่าเสียงเมสโซคนที่ร้องท่อนนี้เนี่ยใครกันแล้วพอรู้ว่าเป็น law student ของ Christ Church (วิทยาลัยหนึ่งของออกซฟอร์ด คือมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดจะแบ่งเป็นวิทยาลัยให้นักศึกษาแต่ละคนสังกัดค่ะ วิทยาลัยจะคอยดูแลเรื่องการเรียน จัด tutor ให้ประจำตัวกับนักศึกษา provide facilities และเป็นที่พักที่นอนค่ะ แอบนินทาว่าวิทยาลัยเมอร์ตันของคุณสามีนั้นขึ้นชื่อว่า where fun goes to die เพราะขับเคี่ยวด้านการเรียนกันเข้มข้นมากๆ และติดอันดับวิทยาลัยที่นักศึกษาในสังกัดทำคะแนนได้สูงๆ ตอนจัดลำดับอยู่เป็นนิจค่ะ)

เราจำได้ว่าคุณเอพเคยมาคอมเม้นท์บทความรีวิวดราม่าทีวีเรื่องปู้ปู้จิงซินของเรา คุณเอพเคยดูปู้ปู้จิงซินทั้งเวอร์ชั่นดราม่าทีวีและหนังสือใช่ไหมล่ะคะ คุณเอพคงจำตัวองค์ชายสี่อิ้นเจินหรือยงเจิ้งเจ้าเก่าได้ คุณสามีคือคนที่เหมือนนิสัยใจคอองค์ชายสี่ทุกอย่าง เหมือนกันจนน่ากลัว เป็นคนจริง เป็นคนดุ เด็ดขาด หนักแน่นและพึ่งพาได้มากๆ ที่สุดแห่งความพึ่งพาได้ เอาจริงเอาจัง เอาการเอางาน รับผิดชอบสูง (สูงจนน่าเป็นห่วง) มุ่งมั่นกับสิ่งที่ตั้งเป้าอย่างเคร่งครัด ตั้งเป้ากับสิ่งไหนแล้วจะแน่วแน่ ไม่ลังเลไม่วอกแวก ไม่สั่นคลอนหรือเปลี่ยนแปรไปกับอะไรง่ายๆ เสมอต้นเสมอปลาย เข้มงวด ที่สำคัญคือฉลาดและมีปฏิภาณแบบที่ใครก็ตามไม่ทัน รักใครรักจริงรักลึกล้ำรักลึกซึ้งจนวันตายแต่แค้นก็ฝังลึกไม่มีวันลืม ข้างนอกเย็นชาเคร่งขรึม คิดอะไรไว้คาดเดาไม่ได้ ไม่เปิดโอกาสให้ใครรู้ คิดอ่านลึกซึ้งลุ่มลึก เก็บอารมณ์ไว้ข้างในไม่มีใครอ่านออกจนดูน่ากลัวน่าเกรง สุขุม เยือกเย็นสุดๆ แต่ภายในอบอุ่นและอ่อนโยน ใจดี เข้าอกเข้าใจ ช่างเป็นห่วงเป็นใยเอาใจใส่ ละเอียดอ่อนรอบคอบกับคนที่สำคัญ อบอุ่นและทะนุถนอมมาก จะให้ความสำคัญด้วยทั้งหมดทุกอย่างจนรู้สึกพิเศษกว่าใครๆ ในโลก แต่กับคนอื่นยากจะหยั่งใจคอได้ถึง เฉียบขาดและมีความรู้สึกให้อย่างจำกัด จะดีจะร้ายจะมาไม้ไหนคาดเดาไม่ได้ พูดน้อยแต่พูดทีจะทรงอิทธิพล (แต่กับคนใกล้ตัวจะค่อนข้างพูดมาก ชอบหยอกเล่น กระเซ้าเย้าแหย่ไปเรื่อย จะกลายเป็นคนขี้เล่น สนุกสนานและมีอารมณ์ขันแปลกๆ) มีวุฒิภาวะสูง มีมุมมองต่อโลกที่ลึกซึ้ง รู้ตื้นลึกของสิ่งต่างๆ และอ่านคนเก่ง วิเคราะห์คนได้ ล่วงรู้ความคิดจิตใจคนอื่นได้ทุกซอกทุกมุมจนน่ากลัวใต้ใบหน้าเรียบๆ ขรึมๆ นั่น แต่ก็เป็นคนจริงใจ ทำอะไรตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ชัดเจน ไม่มีนอกมีใน เป็นที่ปรึกษาที่ดี อยู่ด้วยแล้วจะรู้สึกสงบ มั่นคงและสบายใจ เหมือนคุณถงหัวผู้แต่งเอาพ่อคุณเขาเป็นแบบไปเขียนทุกกระเบียดนิ้วเลยค่ะ องค์ชายสี่เหมือนคุณสามีเราทุกกระเบียด ทั้งนิสัย คุณลักษณะ ความรู้สึกนึกคิด น้ำใสใจคอ การกระทำ ความคิดอ่านถอดแบบกันมาจนตอนที่เราอ่านปู้ปู้ครั้งแรกแล้วขนลุก เขาเป็นคนแบบนั้น และเราเป็นรั่วซีที่ถูกถนอม (แอบให้เครดิตตัวเองเล็กน้อย) สำหรับเขา กับเราแล้วให้อารมณ์ข้อยกเว้นพิเศษ เป็นข้อยกเว้นเดียวสำหรับความน่ารักอ่อนโยนอะไรแบบนั้น ฮา เขาทั้งโอ๋ทั้งตามใจทั้งถนอม ช่างปรนเปรอ แล้วก็สปอยล์สุดๆ แบบที่พี่ชายเราชอบบอกว่าทำเราเสียคน พูดได้เต็มปากว่าเขาใจดีกับเราคนเดียวในโลก แม้แต่กับลูกๆ ถึงจะอ่อนโยนน่ารัก เป็นพ่อที่วิเศษแต่ก็ยังเข้มงวดและมีมุมเคร่งๆ ไม่ผ่อนปรนใส่ แล้วก็ดุมาก ถึงจะชอบแอบตามใจไม่ให้รู้ตัว (เพราะนิสัยชอบยอมอ่อนให้คนที่ตัวเองรักและ service คนสำคัญของตัวเอง แบบเดียวกับองค์ชายสี่เลยใช่ไหมล่ะค่ะ) ถึงจะอย่างนี้แต่ก็เคร่งครัดสุดๆ เราเลยอ่านเรื่องนี้ด้วยความอินและความรู้สึกแปลกๆ ไปพร้อมกันเพราะจินตนาการจะชอบดึงใบหน้าสามีมาเป็นองค์ชายสี่ด้วยความที่เหมือนกันทุกอย่าง เคยมีนักอ่านที่เห็นว่าเราดูปู้ปู้จิงซินแล้วส่งบทความวิเคราะห์ตัวเนื้อหาเรื่องและเน้นวิเคราะห์เจาะลึกนิสัยองค์ชายสี่ฉบับภาษาไทยมาให้ เราอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอ่านบทความชำแหละนิสัยสามีตัวเองค่ะ ตรงส่วนที่มีพูดถึงนิสัยและการกระทำและส่วนที่วิเคราะห์นิสัยองค์ชายสี่ น่ากลัวมาก เหมือนทุกคำคือเห็นกับตา ถอดมาจากพ่อคนนี้เลยทั้งๆ ที่เป็นบทความวิเคราะห์คาแรกเตอร์องค์ชายสี่ชัดๆ เราอ่านแล้วแทบกลั้นหายใจ ถ้าคุณเอพสนใจเดี๋ยวเราหาลิงก์ก่อนเหมือนเคยเก็บเอาไว้

นี่เราออกนอกเรื่อง เล่าถึงไหนแล้วนะคะ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ยาวแต่นี่เริ่มยาวแล้ว ตอนนั้นเขาเป็น Judge แล้วและได้รับเชิญเป็น visiting professor มาสอนบ่อยๆ ค่ะ เขาก็เลยสบโอกาส ดังนั้นจึงมาถึงตอนเราสองคนเจอกันจริงๆ ครั้งแรก พูดให้ถูกคือตอนฝ่ายตัวเราเจอเขาครั้งแรกนั่นเอง ตอนนั้นเป็นวันเปิดภาคการศึกษาใหม่ เราอยู่ที่ Christ Church Hall บน corridor แล้วมันเป็นจังหวะที่เราชะโงกตัวลงไปตอบเพื่อนที่เรียกจากข้างล่าง แล้วอยู่ดีๆ เราก็เสียหลักจะตกระเบียงเพราะโน้มตัวมากไป… (อายไหมล่ะ) เขาที่เดินมาพอดีก็ดึง gown เรา (ชาย sub fusc น่ะค่ะ) ไว้ก่อนที่เราจะตกลงไปจริงๆ ดึงแบบดึงจริงๆ เลยไม่ได้โรแมนติก ไม่ได้อะไรทั้งนั้น ดึงจนเราแทบหงายหลัง พอเราตั้งตัวได้ก็หันไปมองเห็นเขาทำหน้าดุมากๆ หน้าขรึมๆ ดุๆ ปกติก็เป็นคนหน้าตาน่ากลัวดูดุๆ เข้มๆ อยู่แล้ว พอทำหน้าแบบนั้นเราเนี่ยเหวอไปเลย ได้แต่พร่ำขอบคุณๆ ขอโทษๆ ยกใหญ่ คิดว่าคนอะไรหน้าตาขึงขังน่ากลัวจัง เป็นคนโครงหน้าเคร่งๆ ดูมีอำนาจน่ะค่ะ (เพราะแบบนี้ลูกชายทั้งสี่ก็เลยหน้าเคร่งถอดแบบกันมาเลย…) เขาก็ไม่พูดอะไรนอกจาก Next time please be careful. แล้วเดินจากไปแบบขรึมๆ (วางท่าอะไรขนาดนั้นจริงไหมคะ! เขาเล่าให้ฟังว่าพยายามจะ play it cool เอามากๆ แต่ตื่นเต้นสุดๆ อา ช่างท่ามากเหลือเกิน) เราก็คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกหรอก แต่ปรากฏว่าตอนที่เราเข้าเรียน public finance and taxation law เขาเป็น visiting professor เฉยเลย น่าอายมาก น่าอับอายจริงๆ ต้องไปนั่งเรียนในคลาสเขา ตอนนั้นเขายังเป็น judge แล้วด้วย เรารู้สึกอายจริงๆ นะคะ คงเพราะลึกๆ แล้วก็อยากดูดีต่อหน้าเขาแน่ๆ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รู้สึกอะไรชัดเจน รู้แต่ว่าจริงๆ เขาก็เป็น type ของเราพอดีแค่นั้น ก็เลยอยากให้เขาเห็นเรา cool ไม่ใช่ป้ำๆ เป๋อๆ จะตกระเบียง (´□`。)

ที่ทำให้เรารู้สึกเก้อเขินก็คือเราเดินเข้าห้องบรรยายไป เขาก็มองมาเรียบๆ แต่เหมือนอย่างกับเขาจะบอกว่าเธอนั่นเอง คนที่จะตกระเบียง น่าอายจริงๆ มานั่งเรียนในคลาสนี้ด้วยเหรออะไรทำนองนั้น เราอยากจะมุดหนีเลยทีเดียว รู้สึกอะไรมันจะบังเอิญได้เหมาะเจาะขนาดนี้ ตอนนั้นเขามาเล่าทีหลังว่าตื่นเต้นสุดๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร (ก็เลยตีหน้าเคร่ง ทำเฉยจนน่ากลัวแบบนั้นเรอะ มันใช้ได้ทีไหน ทำไมคนแบบนี้ถึงเนื้อหอม ถ้าตอนนี้เราไม่ลูกสี่กันแล้วคงจะกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่มีทางคบกันได้แน่นอน แต่อืม… มาถึงขั้นนี้แล้ว จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็ยี่สิบสองปีกว่าแล้วล่ะค่ะ /อา…) เขาเล่าว่าเพราะตอนนั้นอยู่ในสถานะนั้นก็เลยต้องทำให้ถูกต้องเหมาะสม (ตามสไตล์คนหลักการสูง และเขาเป็นคนที่ dignified มากจริงๆ ค่ะ) จะได้ไม่มีใครมาว่าเราได้ แหม ยังอุตส่าห์คิดถึงกัน อีกอย่างเขาก็ไม่รู้จะเข้าหาเราอย่างไรดี คงต้องรอให้พ้นช่วงที่ต้องสอนกันไปก่อน ระหว่างนั้นก็มีจุดที่ทำให้เราเอะใจค่ะ คือปกติเขาจะเป็นคนที่ถามจี้มาก เรียกถามทุกๆ คน ถกกันไปมา แต่เขาไม่เคยเรียกเราเลย ไม่เลยสักครั้ง หลีกเลี่ยงไม่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย มีเรียกตอบคำถามบ้างตามโอกาส พูดคุยบ้างตามสถานการณ์ แต่ปกติจะพยายามไม่หันมาทางที่เรานั่ง จังหวะเงยหน้าขึ้นสบตาก็จะเห็นว่าเขาจะมองมาตอนที่เราไม่รู้ตัว แล้วพอเราหันมองตามปกติเขาก็จะทำเป็นมองไปทางอื่นแบบเนียนๆ เขาจะทำเป็นไม่สนใจเลยแต่ไม่ได้ผิดธรรมชาติ มันดูแนบเนียนก็จริงแต่ทั้งหมดนี่มันเป็นความปกติที่ดูผิดปกติใช่ไหมล่ะคะ มันดูจงใจไม่สนใจ แต่บุคลิกเขาไม่ใช่คนล่อกแล่กหลุกหลิก ไม่ดูลุกลน แต่เป็นธรรมชาติ น่าเชื่อถือ และเด็ดขาดผ่าเผยมาก ดังนั้นถึงเราจะเอะใจก็จริงแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง อีกอย่างเขาเป็นคนที่เวลาพูดจะมองตาคู่สนทนาไม่เคยหลบ เป็นคนที่มี strong eyes contact มากๆ แต่ไม่ได้ชวนให้รู้สึก uncomfortable แต่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจและเชื่อใจที่จะเปิดเผยและคุยด้วย รู้สึกทำให้คู่สนทนามั่นใจ เป็นคนที่ให้บรรยากาศแบบนั้นน่ะค่ะ ดูนิ่งๆ แข็งๆ น่ากลัวก็จริงแต่อบอุ่นและอ่อนโยนมากๆ เป็น type ที่ทำให้ใจเราซอฟท์เสมอเลยค่ะ
พอมันดูมีบรรยากาศที่เชื่อมโยงเรากับเขาแปลกๆ ดูเหมือนมีอะไรสักอย่างอยู่ลอยค้างเติ่งแบบนั้นนานเข้า เราก็เริ่มเอะใจขึ้นมาจริงๆ ว่าเขาต้องไม่ชอบหน้าเราแน่ๆ (คือตอนนั้นเราเป็นพวกคิดแง่ร้าย ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ไม่ใช่คนมีพลังงานบวกแล้วมองโลกในแง่ดีอะไรทำนองนั้น มักจะชอบมองด้านลบให้ตัวเอง ตอนนั้นเราเป็นเด็กสาวหวงกั้นความรู้สึกตัวเองมากๆ ก็เลยมองไปก่อนว่าเราต้องทำอะไรผิดไปแน่ๆ) เราก็เลยเริ่มไม่ค่อยมั่นใจเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเท่าไหร่

เรามาเข้าใจกันจริงๆ ตอนที่ใกล้จะจบคอร์สกับเขาแล้วเขาก็เรียกเราไว้หลังจบคลาส เราก็งงสิ ทำไมกัน เกิดอะไรขึ้น เราไปทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า เขาไม่เคยทำแบบนี้ คิดร้อยแปดเลยค่ะ อลิซเพื่อนสนิทสุดซี้ของเราที่รู้เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นสาวสายกล้าแกร่งคล้ายๆ mean girl ที่คบกันมาตั้งแต่จำความได้ ผูกพักมากและเธอเป็นคนตลก (ทั้งหมดนี่ชมนะคะ ฮา) กับเพื่อนสนิทสุดซี้อีกคนที่บอกเขาเป็นผู้ชายเลยดูออกมาว่าเขา (สามีเรา) ต้องคิดอะไรแน่ๆ (ขอบคุณในความแม่นยำแก่คุณไมเคิลไว้ ณ ที่นี้) ทั้งสองคนช่วยผลักดันบอกว่ามีอะไรจากนี้ก็ให้พูดตรงๆ ไปเลย เขาเห็นเธอเป็นคนโปรดจะแย่ เราก็คิดว่าจะใช่เหรอคะ (((。・-・)从 แน่นอนว่าเราก็อยู่รอพบเขาตามปกติ ปรากฏเขาชมว่าแต่ละรายงานที่เขียนมาทำดีมากๆ เลยนะ ชมแบบจริงๆ เลยค่ะ เขาทำอะไรชัดเจนและแยกแยะเด็ดขาดอยู่แล้ว ชมแบบไม่หวังผลปะเลาะหรือเพื่อจะเข้าหาหรืออะไรเลย คือเขาเป็นคนที่ปกติก็นิสัยตรงไปตรงมาจนน่าเอ็นดูเลยล่ะค่ะ แล้วเขาก็ให้หนังสือแนะนำมาหลายเล่ม แล้วก็ถามแนวทางในอนาคตบลาๆ ไปเรื่อยเพราะตอนนั้นวิชานี้ก็ใกล้จะจบแล้ว เขาก็เลยคิดว่าอยากจะหาทางเริ่มเข้าหาอย่างเหมาะสมสักที เราที่ยังไม่แน่ใจก็พูดกับเขาแบบสงวนท่าทีไว้ อย่างที่บอกว่าเขาเป็นประเภทที่เราชอบ เราก็เลยอยากจะดูดีในสายตาเขา ตามความคิดเด็กๆ น่ะค่ะ เราก็เลยสงวนท่าทีไม่อยากทำอะไรให้เขารู้สึกไม่ชอบ เพราะตอนนั้น self esteem ก็ไม่ได้ดีไปกว่าตอนนี้เท่าไหร่ ก็มักจะคิดต่อทุกๆ คนว่า อา ถ้าทำอะไรเกินขอบเขตหรือล้ำเส้นกับเขามากไปเขาต้องไม่ชอบเราแน่ๆ แถมเรายังแอบมี trust issue ด้วย

หลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขามาก จนมาตอนหนึ่งเราต้องจับรถไฟไปลอนดอนเพราะเพื่อนสมัย GCSE เข้าโรงพยาบาลกะทันหัน เป็นจังหวะที่เหมือนถูก set up by God มากเพราะอลิซกับไมเคิลเพื่อนสนิทสุดซี้เจ้าเก่าล่วงหน้ามาก่อน เราจับรถไฟตามมาทีหลังคนเดียวแล้วมันบังเอิญมากๆ ยิ่งกว่าบังเอิญที่ไปเจอเขาจับรถไฟลงลอนดอนขบวนเดียวกันกับเขาพอดี อย่างกับบทหนังหรืออะไรสักอย่าง และเผอิญว่าเขาได้ที่นั่งตรงข้างเราพอดีด้วย (´□`。) ตอนเราเดินหาที่นั่งแล้วหันไปเห็นเขาก็อยากจะ face palm ขึ้นมาแล้วก็คิดเลยว่าไม่นะ คงไม่ใช่หรอก แต่ปรากฏที่นั่งเราคือตรงข้างกับเขาค่ะ เขาก็มาบอกทีหลังเหมือนกันว่าตอนนั้นไม่คิดจะเจอเราด้วย เป็นเรื่องของความบังเอิญชักพาจริงๆ ค่ะ เราสองคนก็ทักทายกันปกติ แต่ช่วงนั้นเราอ่านหนังสือดึกแล้วก็เครียด พอได้นั่งสงบๆ อยู่กับตัวเองแบบนั้นแล้วก็เลยง่วงขึ้นมาจนสัปหงก แล้วตอนที่กำลังหลับสนิทไม่รู้ตัว อ้าปากกว้างอยู่นั่นก็คอพับไปพิงไหล่เขาเต็มๆ ค่ะ แล้วเราเป็นคนหลับได้น่าเกลียดมากเพราะเป็นคนนอนอ้าปาก แล้วก็นอนอ้าปากไปแบบนั้นตลอดทางจนถึงมาลีโบน (Marylebone) /face palm พ่อคุณเขาไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ผลักหัวออก นั่งนิ่งกลัวทำให้ตื่นแถมยังห่มผ้าให้อีก (…) พอไปถึงเขาก็ถามว่าลงมาลอนดอนมีธุระที่ไหน จะอาสาไปส่ง แต่เราก็ปฏิเสธไป ทำตัวเจี๋ยมๆ และสงวนท่าทีด้วยความเกรงๆ ในตัวเขา บอกว่าพี่ชายรออยู่ที่ผับใกล้ๆ เขาก็ถามว่ามีพี่ชายด้วยเหรอ เราบอกว่าใช่ เป็นพี่ชายที่อายุห่างกันมาก ที่จริงก็รุ่นราวคราวเดียวกับคุณ เขาก็เอะใจด้วยนามสกุลเราเหมือนคู่ปรับสมัยเรียน ถึงแม้หน้าตาเราจะไม่ค่อยคล้ายพี่ เพราะเราค่อนไปทางเอเชียนมากกว่าเพราะเหมือนคุณย่า แต่เขาก็เอะใจขึ้นมาแล้วก็ถามพี่ชายเราใช่ชาร์ลส์ แมนเนอร์สไหม (เฉลยแล้ว Manners คือ maiden name ของเรานั่นเอง) เราก็บอกว่าใช่แบบงงๆ (ตอนนั้นหน้าเราให้อารมณ์เหมือน ชาร์ลีไปทำอะไรไว้หรือเปล่าคะ คือพี่ชายเราเป็นพวกโดเอสไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ เป็นสถาปนิกผู้เข้มงวดกวดขันแต่ก็เป็นคนทำอะไรตามอารมณ์และอิสระเอามากๆ เราคิดมาตลอดว่าสักวันอาจถูกจับถ่วงแม่น้ำเทม) อยู่ดีๆ เขาก็ยิ้มแล้วพูดเสียงไม่อยากจะเชื่อว่าคิทแคทนี่เอง (There, Kitkat) เราก็งงเข้าไปใหญ่ แต่เขาก็บอกว่าไม่มีอะไรแค่ความทรงจำเก่าๆ แล้วก็กลายเป็นว่าเรากับเขาเดินคุยกันไปตลอดทางถึงเรื่องราวสมัยเรียนของพี่ชายกับเขา เรื่องจิปาถะนั่นนี่ คุยกันเพลินไม่รู้ตัวจนเขาได้ส่งเราถึงที่หมายเลยค่ะทั้งๆ ที่เขาจอดรถไว้แถวๆ สถานีมาลีโบนแต่ก็เดินมาส่งเราไกลมากแล้วก็ย้อนกลับไปเอารถใหม่ คุยเพลินจนไม่อยากให้เดินถึงที่หมายแล้วก็เหมือนเวลาไม่มีความหมายไปเลยล่ะค่ะ

จุดพลิกพลันของเรื่องตอนนั้นคือหลังจากในที่สุดก็ได้ติดคาร์เนชั่นแดง (ก็คือจะนักศึกษาจะติดคาร์เนชั่นแดงตอนสอบเสร็จวิชาสุดท้าย หมายถึงสอบจบหมดแล้วในเทอมนั้น เป็นธรรมเนียมของออกซฟอร์ดนอกจากการสวมครุยเข้าสอบน่ะค่ะ ดอกคาร์เนชั่นพวกนี้ต้องมีคนซื้อให้ ถ้าซื้อมาติดเองจะเป็นลางร้ายในการสอบ へ(´∀`へ) ปกติจะผลัดกันซื้อให้กับเพื่อน ซึ่งครั้งนั้นอลิซเพื่อนเราก็เป็นคนเอาคาร์เนชั่นแดงมาให้ติด เราก็ไม่คิดอะไรเพราะเห็นเป็นปกติ เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าจริงๆ คุณสามีเป็นคนที่ฝากอลิซส่งมาให้แทนคำอวยพร ทั้งสีขาวที่ติดตอนสอบวิชาแรก สีชมพูตอนวิชาถัดมาแล้วก็สีแดงตอนสอบเสร็จ เขาส่งมาให้ตลอดเลยโดยที่เราไม่รู้) ตอนจบเทอมนั้นได้สักพัก จบชั้นเรียนเขาแล้วทุกอย่างก็แยกย้าย รอเรียนเทอมต่อไปซึ่งจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว (จริงๆ แอบเหงา หูตกเลย…) ช่วงที่เราอยู่ช่วยงานเฟลโลว์ต่อยังไม่กลับบ้าน มีวันหนึ่งเราไปนั่งทานที่ร้านประจำในออกซฟอร์ดนั่นแหละค่ะ แล้ววันนั้นไม่มีโต๊ะว่างเลย แล้วเขาก็มากะจะ grab มื้อเที่ยงง่ายๆ ไวๆ แล้วรีบออกไป ปรากฎเราที่นั่งอยู่ก่อนแล้วและเห็นเขากำลังหาโต๊ะก็เลยโบกมือให้ ตั้งใจจะทักทายที่ไม่ได้เจอกันสักพักแล้วก็กะจะบอกว่ากินเสร็จแล้วกำลังจะลุกแล้วให้เขามานั่งต่อ แต่เขาก็เดินมานั่ง สั่งอะไรมากินด้วยกันพูดคุยกันเพลินตามปกติ ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเขากำลังหาจังหวะพูดอยู่ แล้วอยู่ดีๆ พอได้จังหวะเหมาะๆ เขาก็บอกถ้าไม่รังเกียจ ผมก็อยากจะให้เป็นมื้อกลางวันด้วยกันกับคุณเป็นการเริ่มต้นมาตลอด ตอนนั้นเราก็ eh… เริ่มคิดว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาก็จู่โจมตรงๆ แบบนี้ล่ะ นี่มันผิดหลักการผู้ชายอังกฤษนะ ผู้ชายทั้งชีวิตของฉันแม้แต่เพื่อนร่วมชั้นสมัย kindergarten ก็ไม่ทำแบบนี้ แฟนเก่าเราคนก่อนๆ ทั้งชายและหญิงก็เป็นประเภทนี้ก็จริงแต่เพราะ type ขรึมๆ สุขุมๆ แบบนั้นมักจะไม่ค่อยรุกด้วย เราก็เลยไม่ชิน type สุขุมที่รุกหน้าตายขึ้นมา ช็อคไปเลย… แต่เราก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกลับไปมาก บอกเขาว่าแลงคาเชอร์ฮอทพอทที่นี่อร่อยนะคะ เวลาคุณแวะมาที่นี่คราวหลังจะสั่งเป็นมื้อกลางวันก็ได้ (อะไรของฉันเนี่ย…) แล้วก็นั่งกินต่อไปเงียบๆ แต่พอโดนคนที่เป็น type ตัวเองรุกแบบนี้ก็เหมือนตัวเองจะ function ไม่ค่อยได้ไป เขากลัวเราจะอึดอัดก็เลยบอกว่าผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกดดันหรือทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีผมก็จะไป เราที่กลัวจะทำเขาลำบากใจแล้วอึดอัดไปด้วยอยู่ดีๆ ก็เลยโพล่งขึ้นไปประมาณว่า ถ้าเป็นแค่มื้อกลางวัน ครั้งหน้าจะไปทานด้วยก็ได้ค่ะ แต่คุณต้องเล่นหมากรุกให้ชนะฉันก่อน (พูดออกไปแบบนั้น…) ต้องเป็นเพราะลึกๆ เราก็อยากจะทำให้เขาพอใจด้วยนั่นแหละค่ะ เพราะเขาดูอ่อนโยนแล้วก็ไม่ได้มีเจตนาคุกคาม สัมผัสได้เลยว่ามาแบบจริงใจแล้วก็ผ่าเผยสุดๆ ให้อารมณ์พร้อม service ทุกอย่าง อีกอย่างที่เราพูดแบบนั้นเพราะเรามั่นใจในฝีมือหมากรุกมาก ไม่เคยแพ้เลย เป็นแชมป์หมากรุกของโรงเรียน แต่ปรากฏด้วยอภินันทนาการตามปกติจากเจ้าของร้านที่มักจะมีกระดานหมากรุกให้หยิบยกไปเล่นเสมอ เราก็แพ้เขา… เป็นครั้งแรกที่แพ้คนอื่น เจ็บใจมากค่ะ รู้สึกถูกกำราบราบคาบ จะเข้า type เราไปถึงไหน เราเป็นคนที่ยอมรับคนยาก ถ้าไม่คิดว่าพูดแล้วอีกฝ่ายจะเข้าใจก็จะไม่อธิบายอะไรแบบนั้น แล้วก็รู้สึกว่าหาคนที่คุยด้วยความเข้าใจที่ทัดเทียมได้ยากเลยเป็นคนที่จะแพ้ทางพวกที่เหนือกว่าเรา เก่งกว่าเรา ทุกวันนี้หนึ่งในกิจกรรมประจำระหว่างเรากับสามี (เขาเป็นพวกชอบเข้ามาคลอเคลียอย่างไม่น่าเชื่อ) คือการว่างๆ ก็นั่งโขกหมากรุกกันประหนึ่งว่าความแค้นเคืองยังไม่จางหาย ผลสรุปจากตอนนั้นคือเขาหน้าเบิกบานมาก ดูไม่ยิ้มก็จริงแต่เหมือน beam ด้วยความดีใจแผ่ออกมาบนใบหน้าเลยล่ะค่ะ เราก็ซอฟท์อีกแล้ว สุดท้ายก็ได้ไปทานข้าวกลางวันกัน เป็นปิกนิกเล็กๆ ริมแม่น้ำเชอเวลค่ะ

อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือหลังจากตอนนั้นเราไป Commemoration Ball (ให้เข้าใจง่ายๆ คือเทียบได้กับ May ball ของเคมบริดจ์ ที่เทียบแบบนี้ เพราะ May ball ที่เป็นที่รู้จักมากกว่า พูดให้เข้าใจง่ายมันคือ May ball ของฝั่งออกซฟอร์ดค่ะ) เรานัดเจอกับบรรดาเพื่อนและรูมเมทสมัย boarding school ที่มาเรียนออกซ์ด้วยกัน (เราถูกส่งเข้า all girls boarding school ตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ เรียนที่ Benenden School, Kent, in the middle of nowhere เราอยากเรียนอยู่ที่เคนท์ สอบติด Wycombe Abbey ก็ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมไป ให้ไปเข้า Roedean ก็ไม่ไป อีกอย่าง Benenden ดีที่สุดค่ะ (っ´▽`)っ) งานนั้นเราก็ควงเพื่อนหนุ่มคนหนึ่งไป (แบบเพื่อนจริงๆ เลย คุณไมเคิลเจ้าเก่า (Mr Michael of all people) นั่นเอง) แล้วบังเอิญไปเจอเขาเข้า เขาก็แค่มองผ่านๆ เหมือนไม่ได้มีสิทธิจะมาพูดอะไรอยู่แล้วแค่ได้ไปทานมื้อกลางวันกันมาครั้งเดียวอะไรแบบนั้น มื้อค่ำก็ยังไม่เคย แต่เขาพยายามจะบังคับตัวเองไม่ให้มองมาตลอดเลย เราเดินเข้าไปทักเขาตามมารยาท เขาก็แนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักบอกว่าเป็นลูกศิษย์ที่ออกซ์ (ลูกศิษย์เรอะ…) เราก็ไม่ได้อยากให้แนะนำว่าอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ คิดว่าจะเป็นสุภาพสตรีที่รู้จัก เพื่อน หรือบอกแค่เธอเรียนกฎหมายอยู่ออกซ์ฟอร์ดนะตามมารยาทแค่นี้ก็ได้ แต่ลูกศิษย์ก็ออกจะหักหาญน้ำใจและความสัมพันธ์ที่ต่างรู้สึกว่ามันจะมีมากไปกว่านั้นกันไปหน่อย เขาไม่พอใจที่เราควงเพื่อนหนุ่มมาและไม่ยอมบอกว่าเราก็จะมางานนี้ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาชวนให้เป็นคู่เดท (สำหรับเรา ที่ไปงานตอนนั้นมันเป็นการตัดสินใจรวมกลุ่มกันของเพื่อนๆ ในวินาทีสุดท้ายน่ะค่ะ) เขาก็เลยขวางๆ ด้วยการเลือกแนะนำเราว่าลูกศิษย์แทนเหมือนจะประชด คือเขาไม่ใช่คนขี้หึง เป็นคนใจกว้าง ถึงแม้จะหวงแต่ก็ไม่ชวนทะเลาะ เราชอบคนพูดจารู้เรื่อง เขาที่ไม่เคยงี่เง่า ไม่เคยทำตัวไม่มีเหตุผลหรือไร้สาระเลยจับใจเราได้ แต่จริงๆ เราจะรู้ว่าถ้าถึงจุดหนึ่งที่เขาเข้ามากอดหรือแสดงลักษณะ possessive ออกมาให้เห็นแสดงว่ากำลังหวงอยู่นะ เรารู้สึกกรุ่นๆ ที่เขาบอกว่าเราลูกศิษย์ก็เลยไม่สนใจเขาตลอดทั้งงาน หนีไปเต้นกับเพื่อน ควงคุณไมเคิลเพื่อนรักตั้งแต่สมัย kindergarten ไปมา คุยเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ไม่สนใจอีกฝ่ายแบบสุดๆ ถึงจะไม่ได้จงใจทำออกนอกหน้าแต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความคิดที่แอบอยากจะประชดอย่างผิดนิสัยตัวเองมากๆ ว่าก็ฉันมันลูกศิษย์ คุณจะทำอะไรคะ คุณจะรู้สึกอะไรคะ (เพราะตอนนั้นเรายังเด็กเลยไม่ค่อยคิดอ่านอะไรค่ะ… ประชดแบบนี้ไม่ดีค่ะ มันจะนำสู่ความสัมพันธ์ที่แย่) เหมือนกำลังพยายามจะวัดใจว่าใครจะทนได้มากกว่ากัน ยิ่งเห็นเขาวอกแวกไม่มีสมาธิ คอยแอบมองมาตลอดเราก็ยิ่งได้ใจ สรุปเป็นเขาที่ยอมแพ้ก่อน เดินเข้ามาหา ขอตัวเราออกไปตอนกำลังจับกลุ่มคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ ตอนนั้นเขาพาเราเดินไปจนถึงออกซฟอร์ดคาเนล แล้วก็สารภาพทุกอย่างหมดเปลือก บอกว่าเห็นอยู่กับคนอื่นแล้วสงบใจไม่ได้เลย เราเป็นคนที่ทำให้เขาไม่อาจมองใครหรือรู้สึกกับใครได้อีกแล้ว – จริงๆ พูดอะไรเยอะแยะมาก เป็นครั้งแรกที่เราถูกทำให้เขินจนเสียอาการได้ถึงขนาดนั้น แต่ขอยกมาเล่าแค่นี้ เดี๋ยวคุณเอพหมันไส้ เขาสารภาพรักตอนนั้นแล้วก็เริ่มคบกัน คุณเอพเคยดูเรื่อง the theory of everything ไหมคะ ถ้าคุณเอพคิดว่ามันคล้าย ก็นั่นแหละค่ะ ตอนนั้นเราเต้นรำกันที่ริมแม่น้ำเทม จริงๆ พ่อคุณทูนหัวคนหน้าตายสุดจะเคร่งขรึมๆ คนนี้เป็น man of a few words เน้นการกระทำและความเอาใจใส่มากกว่าคำพูด แต่เวลาพูดอะไรหวานๆ ออกมาทีจะละมุนมาก แถมลึกๆ แล้วเป็นคนโรแมนติกและอบอุ่นสุดๆ จนสู้ไม่เคยได้เลยค่ะ

จากนั้นก็มีจุดที่ทำให้เราสะกิดใจจนถลำลึกไป เป็นจุดที่เขาเหมือนจะได้ความรู้สึกจากเราไป คือปกติเราไม่ถนัดโอ้อวดตัวเองเท่าไหร่และคิดว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่รู้จะทำไปทำไม แต่กับเรื่องฝีมือทำอาหารแล้วเราคิดว่าตัวเองมีแนวโน้มที่พร้อมจะโอ้อวดไม่น้อย และอดอวดรู้ไม่ได้ จริงๆ เราคิดว่าตัวเองทำอาหารอร่อยมากทีเดียว เป็นสิ่งที่ภูมิใจกล้าอวดอ้าง แล้วเราก็ชอบอบขนม ทำนู้นทำนี่ติดบ้านไว้ตลอด เราทำได้เกือบทุกอย่างขอแค่ได้ลองกิน และมีสูตรอาหารหลายอย่างเป็นของตัวเองซึ่งต้องขอบคุณคุณยายผู้ให้สืบทอดวิชาและฝีมือทำอาหารมา วันนั้นเราสอนเพื่อนอบแมดเดอลีนที่คุณเธออบออกมาได้ผิดพลาดมาก คุณเธอก็เลยเปลี่ยนมาทำเชพเพิร์ดพายซึ่งก็มีผลไม่ต่างกัน ปรากฏเขาแวะมาหาแล้วเห็นเราไม่อยู่ (ตอนนั้นเราออกไปธุระในเมืองพอดี) ก็นึกว่าที่อาหารพวกนี้ทำไว้คือฝีมือเรา ด้วยความที่เขาเป็นพวกชอบของหวานขั้นหนัก เป็นพวก sweet tooth เข้าขั้น ชอบขนมและของหวานทุกประเภทก็เลยจัดการแมดเดอลีนเรียบ เพื่อนที่อยู่ก็เลยคะยั้นคะยอให้กินเชพเพิร์ดพายด้วย เขาก็กินโดยนึกว่าเป็นฝีมือเรา เราจะไม่บอกว่าสองอย่างนั้นรสชาติแย่ขนาดไหน เอาเป็นว่าเขาซื่อสัตย์มากด้วยการบอกเราตรงๆ ตอนที่เรากลับมาว่าฝีมือทำอาหารคุณแย่มาก แต่ไม่เป็นไร ผมรับได้ คุณจะทำอะไรให้ผมกินก็ได้ทั้งนั้น เราก็งง นี่มัน offensive สิ่งที่ฉันภูมิใจ (แล้วแซนด์วิช ของว่าง กับฟินองเซียที่ทำไปให้ตอนปิกนิกนั่นก็ฝีมือฉันนะคะ ลืมไปแล้วเรอะว่ามันอร่อยแค่ไหน คุณคิดว่าตอนนั้นฉันไปซื้อมาจัดใส่ตะกร้าแล้วโกหกว่าทำเองเรอะ…) ถามไปถามมาถึงรู้ความกัน เราโดนสบประมาทไม่ได้เลยอบมาร์เดอร่าเค้ก โชว์เหนือด้วยการใช้ Italian meringue เป็น frosting ให้เขาหอบกลับไปบ้านไปลิ้มลองรสชาติที่แท้จริง แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันก็ทำให้เราคิดว่าต่อให้เราเอาอะไรให้เขากิน ทำอะไรกับเขา เขาก็ยังจริงใจไม่เสแสร้งกับเรานะ อีกอย่างทั้งที่รู้ว่าทำอาหารได้รสชาติแทบจะวางยาคนได้ก็ยังบอกรับได้ได้หน้าชื่นตาบาน ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่กับการที่ผู้หญิงทำอาหารไม่เป็น เป็นคนที่ใจกว้างและเปิดรับทุกอย่าง เขาพร้อมจะรับทุกข้อเสียของเราได้

คุณเอพคงคิดว่าเล่ามายาวแล้วตกลงปลงใจกันสักทีนะ ใช่ค่ะ มันคือช่วงคบกันที่รักเบ่งบานและทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยจืดจาง คิดว่าตัวเองโชคดีมากๆ เขาทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองพิเศษและโชคดีที่สุดในโลกอยู่ตลอด ตอนนั้นเขาเทียวไปเทียวมาของจริงเลยค่ะ จับรถไฟจากลอนดอนขึ้นมาออกซฟอร์ดเพื่อมาทานข้าวกลางวัน เดินเล่น ท่องเที่ยว แบบที่คงเรียกว่าเดททุกครั้งที่เขาว่าง เพราะเขาเองก็เป็น Judge แล้ว ในวันหยุดสุดสัปดาห์เขาก็จะมา แต่ไม่ได้อะไรหวือหวา แค่นั่งอ่านหนังสือด้วยกัน เล่นหมากรุก ไปขี่ม้า กินมื้อเที่ยง ปิกนิก แลกหนังสือสนุกๆ กันอ่าน นั่งฟังเราบ่นเรื่องเรียนเรื่องนั่นนี่ ติวหนังสือให้ ตระเวนกินมื้อค่ำร้านอร่อยๆ เวลาเราลงไปลอนดอนก็ไปดูละครด้วยกันบ้าง ดนตรีบ้าง ทำอะไรกินเป็นมื้อค่ำเรื่อยๆ ด้วยกัน เป็นอะไรที่เรียบง่ายและสงบใจมากๆ รู้สึกเหมือนถูกถนอมอยู่เลยค่ะ (ฟิคที่เขียนก็เลยออกมาแนวตัวเอกชอบถนอม… ต้องเป็นเพราะแบบนี้แน่ๆ ติดใจมาจากตรงนี้…) แล้วก็ถูกความเป็นผู้ใหญ่ของเขาทำให้ละลายลงช้าๆ ซอฟท์อีกแล้ว มันเป็นเหมือนท่วงทำนองที่ทำให้เขาได้ใจเราไปช้าๆ เขาทำทั้งหมดนั่นด้วยความชัดเจนมากๆ ว่าต้องการสถานะแบบไหน มันเป็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนมากว่าต้องการ engagement relationship นะ และมันเป็น committed relationship ไปเองโดยธรรมชาติเหมือนเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นมาตลอด แต่ตอนนั้นเรายังเด็ก และอย่าลืมว่าเราอายุน้อยกว่าเขาสิบเอ็ดปี ช่วงที่คบกันนั้นเราอายุสิบเก้า (Age of consent ที่นี่คือ 16 ปี ส่วน Age of majority (บรรลุนิติภาวะ) คือ 18 ปี) เขาก็รู้แก่ใจมาตลอดว่าเรายังเด็กเกินกว่าจะปลงใจไปกับ committed relationship แบบนี้เพราะเรามีโอกาสที่จะมีชีวิตและเจอคนอีกเยอะมากๆ เขาก็เลยใจเย็นมาก ไม่เคยใช้ความที่อายุมากกว่า ประสบการณ์มากกว่าเอาเปรียบ ไม่เร่งรีบ ไม่เร่งรัด ไม่ร้องขออะไรทั้งนั้น ถนอมไว้ตลอดเวลา เขาคิดอย่างสิ้นหวังว่าเราอาจจะไปเจอใครสักคนแล้วเดินออกไปเพราะเรายังมีโอกาสเยอะแยะ แต่เราไม่เคยคิดแบบนั้น ตลอดเวลาเหล่านั้น กับความคิดของเด็กอายุสิบเก้าคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าที่ข้างๆ เขาคือที่ที่สบายใจที่สุดในโลกและไม่คิดหวังอะไรอื่น และยี่สิบสองปีผ่านมาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเลย

คนเราจะรอผู้หญิงคนหนึ่งได้นานแค่ไหน ต้องรักขนาดไหนกับการอุทิศทุ่มเทให้ทั้งหมดนั่นโดยไม่ร้องขออะไรเลย ขอแค่ได้ทำให้ และไม่เคยทำให้รู้สึกว่าการที่เขาทำแบบนั้นทำให้เรารู้สึกเป็นหนี้ที่ต้องอยู่ตอบแทนความรู้สึกเขา ไม่เคยเลย แค่ให้จริงๆ เป็นคนที่อ่อนโยนและเป็นผู้ให้มาก (ถ้าคุณเอพได้เจอ อย่าไปบอกเขาเชียวนะคะว่าเราพูดแบบนี้ เขาจะทำหน้าน่ากลัวใส่คุณเอพเพราะเขิน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เราได้หลับได้นอน … ) เราคบกันมาตลอดจนเราจบ undergrad แล้วไปต่อ Inns of Court ที่ Gray’s Inn เพื่อเรียนบาร์ เขาก็ช่วยแนะนำ เป็นกำลังใจให้ ช่วยติวช่วยสอนมาตลอดเพราะเขารู้เนื่องจากเคยผ่านเส้นทางชีวิตเดียวกันทั้งหมดนี่มาแล้วว่ามันหนักหนาสาหัสแค่ไหน เขาเข้าใจดีมาก เข้าใจตลอด มีแต่ความเข้าใจให้ (มีครั้งหนึ่งตอนช่วงคบกันที่เราอยู่จุดเศร้าสุดๆ เครียดเรื่องเรียนบาร์ วันนั้นเขาพยายามทำอาหารมาปลอบใจ แค่ไข่คนง่ายๆ (มีเปลือกไข่ รสชาติไม่สมดุลกันเลย กินตรงไหนรสจะไม่เหมือนกันสักที่ มีทั้งขมไหม้ เค็ม หวานเป็นหย่อมๆ) เบคอนโทสต์ (ไหม้) แล้วก็ซุปไก่อุ่นๆ ที่ใส่ซอสมะเขือเทศมากไป มีกลิ่นไธม์กับเบย์ลีฟมากไป รสชาติมันแย่มากจนต้องหัวเราะออกมาและยิ้มให้ในความพยายาม ลืมความเศร้าเป็นปลิดทิ้งแล้วความอุ่นของอาหารร้อนๆ ทำด้วยใจในวันที่แย่ๆ ก็อบอุ่นไปถึงหัวใจเลยค่ะ (เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นบ้างแล้ว แน่นอนว่าอยู่กับเราจะไม่พัฒนาได้อย่างไร เสียชื่อแย่ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เขาจะรับหน้าที่ทำมื้อเช้าในวันเสาร์อาทิตย์ และปกติก็จะคอยเป็นลูกมือมื้อค่ำ ฝึกปรือฝีมือ ตอนนี้สามารถเอาตัวรอดได้ไม่อดตายแล้ว… ถึงแม้ถ้าเทียบกับเหล่าลูกชาย บรรดาหนุ่มน้อยจะยังมีฝีมือมากกว่าก็ตาม…)) พอเราเรียนจบบาร์ ถูก called to the bar เรียบร้อยก็ถึงช่วงทำ pupillage ไปฝึก barrister ตาม chambers ตอนนั้นเรายี่สิบสองจะยี่สิบสามได้ คบกันมาสี่ปี ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันได้สามปี แต่เชื่อไหมคะคนที่แค่อยู่ด้วยกันแต่ไม่ทำอะไรเลยมีอยู่จริง เขาให้คำมั่นกับตัวเองตั้งแต่เราอายุสิบเก้าว่าจะไม่เอาเปรียบหรือทรีทเราไม่ดี จะไม่ทำอะไรที่เราไม่ต้องการ และเขาก็ทำตามนั้นทุกคำ เราไม่ใช่ religious person ไม่ได้เคร่งศาสนา ไม่ใช่คาทอลิกด้วย เรานับถือ C of E เหมือนอังกฤษชนทั่วไป แต่เราเชื่อเรื่องถือ virgin before marriage และเชื่อใน virgin bride เขาก็ไม่แตะต้องเลย เป็นคนที่นับถือและเข้าใจกับทุกสิ่งที่เรายึดถือ คุณอลิซเพื่อนสนิทสุดซี้เคยบอกว่าถ้าเขาไม่รักเธอมาก เขาก็ต้องเป็นเกย์ (He must blo*dy hopelessly and completely love you so f*cking much, or he’s gay.) …สรุปเป็นเกย์สินะ ฮา ตอนนั้นเขาให้เกียรติมากจริงๆ ค่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่หาความสนุกกันเลย คุณเอพคะ คุณเอพน่าจะรู้ว่าความหรรษาบนเตียงทำด้วยวิธีไหนได้บ้างเรา (…) ที่จริงพ่อคนนี้น่ะถึงจะไม่ใส่ใจเรื่องการคบหาหรือผูกสัมพันธ์กับผู้หญิงแต่ก็ไม่เคยขาดผู้หญิงเลย ไม่ใช่คนโชกโชนด้านผู้หญิงอะไรแบบนั้น แค่มีและก็ไม่เดือดร้อนกับการคบหาผู้หญิง ไม่เคยรักไม่เคยหลงใครและก็จะไม่ผูกสัมพันธ์มากเกินไปพร้อมจะตัดทุกเมื่อ ใช่ค่ะ เรากำลังจะพูดให้คุณเอพหมันไส้ว่ามีแค่เราคนเดียวที่ได้อยู่ในสถานะทั้งรักทั้งหลงนั่น (/โดนเขม่น Σ(・∪・´ノ)ノ)

จริงๆ ด้วยสายงานที่ทำ เราทั้งคู่ต้องเจอกันตลอด โคจรหมุนเวียนไปมารอบๆ อีกฝ่ายเพราะเขาเป็น judge ส่วนเราเป็น barrister เลยต้องแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้เด็ดขาดชัดเจนกันไม่ให้มีคนตำหนิ ทุกอย่างต้อง dignified และทำอย่างผ่าเผย ทั้งก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน แล้วไหนจะเรื่อง conflict of interest เวลาเราไปที่ศาลเขา แล้วเกิดเดินเจอกันที่ระเบียง ต่างคนต่างก็ต้องสำรวม แต่ก็ใช่ว่าเจอหน้าจะพบปะพูดคุยกันไม่ได้ หลังแต่งงานก็ less strict ลงบ้างเพราะเป็นคู่สมรสแล้ว แต่ก็ยังต้องทำทุกอย่างให้ dignified และสำรวมอยู่ เขาจะทำหน้าเรียบๆ พยักหน้าตามปกติทักทายสั้นๆ ว่า counsel ตลอดเหมือนไม่เคยนอนกรนให้ฟังทุกคืน ส่วนเราก็จะพยักหน้าทักทายตามปกติกลับไปว่า my lord แค่นั้น เหมือนหนึ่งว่าเราสองคนไม่ได้รู้ทุกซอกทุกมุมของอีกฝ่าย นิสัยทั้งส่วนที่ดีมากและแย่ที่สุด ตลกดีนะคะ บางทีเราก็ต้องไปบอกเขาว่าให้ไปรับลูกแทนเพราะการพิจารณาคดีติดพัน บางทีเขาก็จะส่งคนมากระซิบบอกในห้องพิจารณาคดีว่าให้เป็นฝ่ายไปรับลูกเพราะติดงาน บางครั้งเราเวลาเจอหน้าเราก็บอกให้เขาแวะซื้อของเข้าบ้านก่อนกลับ เป็นเรื่องปกติไม่ได้คร่ำเคร่งอะไรถึงขนาดนั้น แค่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมเท่านั้นเอง แต่เขาก็ยังส่งดอกไม้มาให้เราที่ chambers ทุกเดือนได้เฉย ทำมายี่สิบกว่าปีไม่เคยขาด ถ้าไม่ทำมาเสมอต้นเสมอปลายขนาดนี้เราคงคิดว่าเขาไม่ทำอะไรไว้แล้วอยากจะกลบเกลื่อนด้วยการเอาใจแน่ๆ ( ̄▽ ̄;) แต่นั่นแหละค่ะ เขาเป็นคนชอบปรนเปรอและชอบทำให้รู้ว่าเป็นคนพิเศษสำหรับเขานะ judge ส่งดอกไม้ให้ barrister มาถึง chambers ทุกเดือนเนี่ย ถ้าคนที่ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์เราสองคนเป็นอย่างไร ก็ดูไม่เหมาะมากๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ คงต้องเลิกคิ้วกันเลยทีเดียว แต่เขาที่ dignified ถึงขนาดนั้นก็ขอทำตรงนี้ให้ ที่จริงให้ที่บ้านก็ได้แต่เพราะเขาอยากให้เราได้รับดอกไม้สวยๆ ตอนกำลังนั่งทำงานเหนื่อยๆ เป็นกำลังใจก็เลยส่งมาให้ที่ทำงานแบบนั้น พ่อคุณเขาน่ารักใช่ไหมล่ะคะ ซอฟท์อีกแล้ว… พอลองคิดๆ ดูงานที่ทำก็ไม่ได้ส่งผลอะไรขนาดต่อเราสองคนขนาดนั้น แค่ต้องระวังตัว อีกอย่าง บางงานเราพูดให้เขาฟังไม่ได้ บางงานของเขาก็พูดให้เราฟังไม่ได้ แต่เราสองคนจะรู้เสมอว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร กำลังเผชิญกับอะไร รู้สึกแบบไหน งานหนักไหม และเพราะเราสองคนรู้แก่ใจว่ามันเป็นอย่างไรด้วยลักษณะงานแบบเดียวกันก็เลยให้กำลังใจกันได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร และถึงเราสองคนจะมีห้องทำงานแยกกันในบ้านแต่ปกติเขาจะย่องมาใช้ห้องเดียวกับเราเพราะเขาบอกว่าเวลานั่งทำงานแล้วเห็นหน้าคุณทำให้สบายใจ (ดูความปากหวานนะคะ…)

นี่เราเล่าถึงไหนแล้ว ออกนอกเรื่องไปไกล เล่าถึงตอนทำ pupillage ใช่ไหมคะ ตอนเราทำ pupillage จบและทำงานต่อในฐานะ barrister ในแชมเบอร์สที่ไปฝึก เขาก็ bent down on one knee, and popped the question คืนคริสต์มาสตอนไปเที่ยวตากอากาศที่เดฟเฟิน (Devon) ปกติวันคริสต์มาสเขาที่เล่นไวโอลินได้พอสมควรจะเล่นเพลง waltz of the flowers กับ dance of the sugar plum fairy ของ Tchaikovsky ให้เราฟังเป็นธรรมเนียม เพราะเราชอบ Tchaikovsky ด้วยส่วนหนึ่งและมันมาจากที่คริสต์มาสแรกของเราสองคน เขาเล่นสองเพลงนี้ให้ฟังเพราะเราคือคลาร่า (คุณเอพตามแอคเค้าท์หลักเราก็คงพอจะทราบว่าปกติคนในครอบครัวจะเรียกเราคลาร่า มาจากชื่อกลางของเรา เอาจริงๆ แล้วแคโรไลน์ เคลเมนไทน์ คลาร่า-คลอทิลด์: Caroline Clementine Clara-Clotilde เนี่ย ตัวซีเยอะใช่ไหมล่ะคะ เราไม่ชอบที่มันตัวซีเยอะเกินไป ไม่ชอบชื่อเคลเมนไทน์ด้วย ยิ่งตอนเปลี่ยนมาใช้นามสกุลคุณสามี ชื่อก็มีแต่ตัวซี… ชื่อกลางที่สอง Clara-Clotilde ตั้งตามคุณย่าทวด คุณเอพอาจจะไม่เข้าใจขนบเรื่องชื่อ แคลร์ที่เพื่อนๆ เรียกเป็นชื่อเล่นที่เขาใช้กันสำหรับชื่อคลาร่าตามธรรมเนียมปกติค่ะ มาจากรากเดียวกัน ไม่ได้มาจากชื่อจริงแคโรไลน์แต่อย่างใด สำหรับในครอบครัวเราคือคลาร่า กับเพื่อนๆ เราคือแคลร์ กับคุณย่าสุดที่รักผู้ล่วงลับและเพื่อนๆ คนไทยเราคือตอง เป็นชื่อที่คุณย่าเรียก และเราใช้มันกับเพื่อนคนไทยเสมอเพื่อระลึกถึงคุณย่า และจะรู้สึกอบอุ่นใจเวลามีคนเรียกชื่อนี้ค่ะ) เพราะเป็นคลาร่า คุณสามีก็เลยเลือกเพลงนี้มาเล่นหยอกเย้าเราตอนนั้น (เผื่อคุณเอพไม่เข้าใจ สองเพลงนี้เป็นเพลงประกอบบัลเล่ต์ชุด The Nutcracker ค่ะ ตัวเอกเป็นสาวน้อยชื่อคลาร่าที่ได้นัทแครกเกอร์ (ที่กะเทาะเปลือกวอลนัท) รูปทหารเป็นของขวัญวันคริสต์มาส แล้วต่อมาตอนจบเจ้านัทแครกเกอร์ก็กลายเป็นเจ้าชาย) แล้วก็เลยเล่นมาทุกปี เราแต่งงานในเดือนหกปีถัดมา สำหรับเราที่แต่งงานตอนยี่สิบสี่มันค่อนข้างเป็น married young เราไม่เคยมีชีวิตรักหวือหวา ไม่ใช่คนมากในรัก ไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากมาย คนอื่นมองว่าทั้งที่แบบนั้นแต่กลับรีบแต่งงานแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะมีทุกอย่างมั่นคงแต่เราเหมือนทิ้งชีวิตวัยสาวที่จะแสวงหาความสุขไปและต้องติดอยู่กับผู้ชายคนเดียวไปกับชีวิตที่เหลือ แต่เราไม่คิดอย่างนั้น เราเจอคนที่ทั้งชีวิตนี้จะเป็นคนอื่นไปอีกไม่ได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรั้งรออะไรอยู่อีก เราไม่เคยเสียใจ ไม่เสียดายชีวิตช่วงวัยยี่สิบอะไรเพราะเราชอบความมั่นคง คาดเดาได้ของชีวิต ทั้งก่อนหรือหลังแต่งงานเขาไม่เคยบอกว่าเราต้องอยู่บ้าน ต้องเป็นแม่บ้าน ต้องเป็นภรรยาหรือเป็นแม่ ไม่เคยกะเกณฑ์ชีวิตเรา ไม่เคยทำเหมือนเป็นเจ้าชีวิต เราอยากจะทำอะไรก็ทำ อยากเรียนต่อก็เรียน เขาถามว่าเราอยากเป็นนักเขียนจะอยู่บ้านเฉยๆ แล้วเขียนอะไรที่อยากเขียน เขาพร้อมสนับสนุนเต็มที่ เราบอกไม่เอา เขาก็ไม่ว่าอะไร เราบอกยังอยากทำงานต่อ ยังไม่อยากมีลูก ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนที่เรามีลูก เด็กจะต้องได้รับ full attention และทุกสิ่งที่เราจะทำให้ได้ เขาเข้าใจดีทั้งหมด ทั้งที่เขาชอบเด็ก อยากมีลูกเยอะๆ เราบอกขอใช้ชีวิตทำงานให้เต็มที่ก่อน เขาก็ไม่มีปัญหา เขารอจนหน้าที่การงานเราถึงจุดที่เราพอใจแล้ว จะขึ้นเป็น QC ได้บรรลุความพึงพอใจของตัวเอง อายุก็เหมาะสม ก็ได้เจ้าลูกชายคนโตมาตั้งแต่ตอนพยายามครั้งแรก และก็ลงเอยด้วยหนุ่มน้อยสี่คนที่ไม่เคยทำให้ได้เหงาเลย เขาบอกไม่ต้องมีลูกสาวหรอก ให้เราเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขารักและถนอมก็พอ คนอะไรปากหวานจริงๆ คนๆ นี้นะคะคุณเอพ ปกติแล้วหน้าตาคร่ำเคร่งเหมือนเจ้าพ่อมาเฟีย น้ำใสใจคอเยือกเย็น แต่โรแมนติกและอบอุ่นได้ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ

คุณเอพคงคิดเหมือนเราโม้ ทำไมดูเขาปฏิบัติกับเราดีมากเหมือนเรื่องชวนฝัน กับเราเขาปฏิบัติอย่างดีพร้อม แต่เขาไม่ใช่คนที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่น เป็นคนดีมีเกียรติคนหนึ่งแต่ก็เป็นมนุษย์ที่มีข้อเสีย ไม่เคยผิดศีลธรรมจรรยา ไม่ใช่คนนิสัยเลวร้ายเหลือจะรับอะไรแบบนั้นก็จริงแต่ไม่ใช่คนที่มีนิสัยดีไปหมดไม่ด่างพร้อยด้วยเช่นกัน เป็นคนซื่อสัตย์ มีน้ำใจและมีความเห็นอกเห็นใจแต่ก็ไม่ใช่คนประเสริฐล้ำเลิศไปเสียทุกอย่าง อย่าลืมว่าเขาเหมือนองค์ชายสี่จากปู้ปู้จิงซินทุกประการ เขาไม่ได้ดีเลิศเลอสมบูรณ์แบบสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเราแล้ว เขาดีที่สุด ทุกอย่างที่เขาทำให้เราดียิ่งกว่าใคร ทั้งนี้ ในสายตาที่แสนจะลำเอียงด้วยรักของเราแล้ว ถ้าจะจำกัดความเขาก็คงเป็น cold, staid, serene and unruffled แต่ก็ต้องมี sweet, considerate, kind and dignified มาด้วยเสมอขาดไม่ได้ เป็นคนแบบนี้แหละค่ะ และที่สำคัญที่สุดคือเขารักเรามากยิ่งกว่าใคร (อีกครั้ง ถ้าคุณเอพได้มีโอกาสเจอเขาเข้าสักวัน ห้ามบอกเขาว่าเราพูดอะไรทำนองนี้นะคะ เพราะเราจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนค่ะ … )

จริงๆ ช่วงที่ทะเลาะกันก็มีนะคะ เคยทะเลาะกันหนักมากครั้งหนึ่งสมัยคบกัน นอกนั้นจะแค่งอนๆ กรึ่มๆ ใส่กันนานทีปีหนเพราะปกติจะพูดกันตลอดเพราะอีกฝ่ายเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาแบบนั้น ส่วนเราเป็นคนชอบพูดจาให้รู้เรื่องกับคนที่คิดว่ามีความสามารถที่จะเข้าใจทัดเทียมกับเรา (ทำไมพูดแบบนี้แล้วฟังดูหลงตัวเอง…) ก็เลยแทบไม่ทะเลาะกันจริงๆ แต่ที่ทะเลาะกันใหญ่ครั้งนั้นเพราะตอนนั้น สมัยที่เราทำ pupillage อยู่ได้ทำคดีใหญ่แล้วเอาตัวเองเข้าไปอยู่ถึงจุดที่อันตรายมากไป แล้วเขาไม่พอใจที่ไม่ฟังทำเตือนหรือคำทัดทานอะไรเลย ก็เลยทะเลาะกันเพราะเราไม่ชอบให้ถูกสั่ง และเขาไม่เคยบงการหรือสั่งให้เราทำอะไรมาก่อน แต่เพราะตอนนั้นอีกนิดก็อันตรายถึงตัวแล้ว (นี่เป็นสาเหตุที่เราหยุดดู Peaky Blinder กลางคันเพราะมันมีส่วนที่ trigger นิดหน่อย) เขาที่เคยเผชิญอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกันสมัยเป็น barrister เห็นว่าถ้ายังทำต่อไม่ได้การแน่ๆ ก็เลยใช้เส้นสายนิดหน่อยให้ barrister ที่เคยเป็น pupil ของเขาสมัยก่อนและเป็นรุ่นน้องสมัยทำปริญญาโทที่ออกซฟอร์ดด้วยรับคดีไปทำต่อแทน เราก็โกรธ โกรธมาก ก็เลยทะเลาะกันยกใหญ่ เราหนีขึ้นเหนือไปรับคดีถึงนอร์ธธัมเบอแลนด์ไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งเขาไว้ลอนดอน เขาเสียศูนย์ไปเลย บอกเหมือนคนเดินละเมอตลอดเวลาคล้ายกำลังฝันอยู่ มันเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองตายไปจริงๆ เหมือนข้างในค่อยๆ ตายไปช้าๆ ส่วนเราก็หมดอาลัยตายอยาก พยายามเหมือนไม่รู้อะไรแต่ว่างเปล่ามากๆ เหมือนอะไรที่สำคัญมากๆ หายไปแต่แค่ไม่อยากรับรู้ แค่รู้ว่ามันหายไปแล้ว เนิ่นนานแล้วไกลแสนไกล เขาตามง้อทุกวิถีทางที่จะนึกออกพอถึงจุดหนึ่งตอนที่ถูกคนที่เย็นชามาดขรึมถึงขนาดนั้นเว้าวอนขอร้องตาใส ใจก็สู้ไม่ได้ขึ้นมา ทำใจแข็งไม่ลง แล้วทิฐิก็หายไปหมดเลย… ปกติเราไม่ค่อยจะใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่เก็บอะไรเป็นอารมณ์ ถ้าไม่เป็นเรื่องที่นึกถือเป็นจริงจังขึ้นมาก็จะไม่สนใจเลย ปล่อยผ่านอย่างเดียว แต่เรื่องนี้เป็นจุดที่เราไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้เลย มันสำคัญมากๆ มีอิทธิพลเหนือตัวเองมากๆ ถึงได้รู้ว่าเขาเป็นคนที่สำคัญกับตัวเองมากแค่ไหน ในบรรดาคนรักที่เคยคบมา แฟนเก่าคนหนึ่งเป็นหนุ่มไทป์ INTJ เหมือนกัน เดินสายอาชีพเดียวกันและเคยเผชิญหน้าตรงข้ามกันในศาลในแบบที่จ้องจะจองล้างของผลาญอีกฝ่ายรุนแรงมาก (งานล้วนๆ ไม่ took it personal) อดีตแฟนหนุ่มอีกคนหนึ่ง กุมารแพทย์ไร้อารมณ์ที่จบแบบมองตารู้ใจเพราะต่างรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนตัวเองมากไป ไม่น่าคบกันได้รอด รู้ว่าต่างก็ให้ความรู้สึกจริงๆ กับอีกฝ่ายไม่ได้เพราะรู้ดีว่าต่างคนต่างก็เหมือนตัวเองขนาดนั้น คล้ายเป็นเพื่อนที่รู้ใจมากกว่าแฟน ส่วนอดีตแฟนสาวอายุเท่ากันที่ตอนนี้เป็นนักมานุษยวิทยาและต้อง bicker กันเพิ่มสีสันทุกครั้งที่มีโอกาสได้เจอหน้า (ทุกวันนี้บางทีก็จะส่งซากอะไรสักอย่างหรือของแปลกๆ มาให้เป็นที่ทับหนังสือ) ทุกคนต่างก็เลิกกันด้วยดีแบบว่าเลิกกันเถอะ โอเค ดีล จับมือแยกย้ายอะไรแบบนั้น เราเคยคบแต่คนอายุมากกว่าและเราชอบคนพูดจารู้เรื่อง แต่ทั้งหมดไม่เคยถึงขั้นที่เราเก็บมามีบทบาทอยู่เหนือความรู้สึกของตัวเอง มีแค่คุณสามีคนเดียวในตอนนั้น เขาก็เลยเหมือนเป็นชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของเราเลยล่ะค่ะ

เห็นคุณเอพถามเรื่องพวกของที่ชอบด้วย ก็ขอตอบไปด้วยกันทีเดียว เราชอบกินทุกอย่างค่— /ไม่ใช่ ของกินที่เราชอบคือ French onion soup กับ roasted spare ribs ฉ่ำซอสค่ะ เราชอบ fried chicken ด้วยแต่ต้องส่วน middle wing เท่านั้น ถ้าเป็นส่วนอื่นจะเฉยๆ แล้วเราก็ชอบของทุกอย่างที่ทำจากมันฝรั่ง ไม่ว่าจะ mashed, chips, crisp, roast, jacket, hash brown หรือแบบ Japanese salad ก็ดีไปหมด นอกจากนี้ก็เป็นอาหารทุกรูปแบบที่ใส่ผงกะหรี่ค่ะ สำหรับขนมเราชอบโอเปร่าเค้ก กวียามัน (kouign-amann) ชุ่มเนยมีเกล็ดน้ำตาลกรอบๆ เหนียวๆ เยอะๆ แล้วก็ไอศกรีมค่ะ ในบรรดาของหวานก็ต้องยกให้ไอศกรีม (พ่ายแพ้ให้ไอศกรีมทุกครั้ง แน่นอนว่าต้องโรย rainbow sprinkles ด้วยเสมอ ชอบ sprinkles มากๆ เลยล่ะค่ะ แต่จริงๆ ถึงจะชอบไอศกรีมแต่เราไม่ชอบไอศกรีมรสเปรี้ยวและไม่ชอบเชอร์เบทเท่าไหร่ เราไม่เคยจัดว่ามันเป็นไอศกรีมเลย) นอกจากไอศกรีมเราก็ชอบเค้กมาก กินได้ทุกชนิด ที่ชอบเป็นพิเศษก็แฟนซีเค้ก frosting butter cream เยอะๆ นุ่มๆ แต่ง icing สวยๆ แบบ old school ฝีมือคุณย่าอะไรแบบนั้น แต่สำหรับที่สุดแห่งเค้กของเราก็ต้องยกให้โอเปร่าเท่านั้น เราชอบโอเปร่าเค้กที่สุด กินทุกวันก็ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ต้องโอเปร่าเค้ก และต้องแบบ traditional แยกชั้นอย่างดีด้วย เวลาเราทำจะใส่บัทเทอร์ครีมกาแฟสามชั้น กานาชสามชั้น เค้กอัลมอนด์บางๆ สี่ชั้น ทาน้ำเชื่อมกาแฟฉ่ำๆ แล้วเคลือบหน้าช็อคโกแลตขมๆ หนาๆ มันจะลงตัวมากๆ เลยค่ะ ถ้าซื้อกินแล้วปกติจะไม่ได้ชั้นแบบนี้ แล้วถ้ามีชั้นไหนรสชาติโดดไม่กลืนกันก็จะไม่อร่อย โอเปร่าเค้กต้องพิถีพิถันละเมียดละไมกับแต่ละชั้นถึงจะอร่อยนะคะ แล้วถ้าจะให้พูดถึงผลไม้ที่ชอบก็ต้องเชอร์รี่ค่ะ เราไม่รู้ว่าของที่ชอบในความหมายของคุณเอพครอบคลุมถึงอะไรบ้าง ฮา สำหรับดอกไม้ เราชอบดอกไม้ทุกประเภท เราโตมาในแคนเทอบรี เคนท์ (Canterbury, Kent) มองไปทางไหนก็จะเจอดอกไม้ สวน ทิวทัศน์เขียวๆ แล้วก็ดอกไม้ ดอกไม้ สีเขียว ดอกไม้ ต้นไม้ แล้วก็ดอกไม้ (…) เราก็นิยมชมชอบต้นไม้และดอกไม้ไปโดยปริยาย แต่ถ้าที่ชอบเป็นพิเศษก็ไฮเดนเยียแล้วก็ดอกไม้ที่มีสีขาว ไม่รู้ทำไมถึงเป็นดอกไม้ที่มีสีขาว ฮา แต่ถ้าเป็นสีขาวจะได้ใจเราเป็นพิเศษ เราก็เลยชอบแมกโนเลียสีขาวตอนที่มันบานเต็มต้น ชอบเอลเดอร์ฟลาวเวอร์หอมๆ เป็นพุ่มๆ แล้วก็ชอบดอกไม้เมืองร้อนอย่างมะลิมากๆ มันหอมมาก ถ้าให้พูดถึงกลิ่นที่ชอบด้วยก็ต้องมะลินี่แหละค่ะ นอกนั้นก็มีกลิ่นไม้ กลิ่นแบล็กเคอแรนท์ กลิ่นขนมตอนอบใหม่ๆ แล้วก็กลิ่น salted caramel

นักแสดงที่เราปลื้มเป็นพิเศษคือคุณเรล์ฟ ไฟนน์ค่ะ อย่าให้เราเริ่มพูด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไปยาว อีกอย่างที่เราชอบคุณเรล์ฟ ไฟนน์ไม่ใช่เพราะเหมือนคุณสามีหรอกนะคะ แต่กลับกันต่างหากว่าจุดที่เราสะดุดใจคุณสามีในทีแรกเพราะเขาคล้ายคุณเรล์ฟ ไฟนน์ค่ะ Σ(´∪`ノ)ノ จะคลั่งไคล้คุณเรล์ฟ ไฟนน์ให้คุณเอพฟังต่อไปอีกก็เกรงใจ (〃_〃)ゞ เราควรจบเท่านี้ก่อนจะยาวไปกว่านี้ ที่จริงยิ่งเล่าก็ยิ่งสนุก เริ่มติดลม ขอบคุณที่ถามมานะคะ ได้เล่าเรื่อยๆ แล้วรู้สึกสนุกขึ้นมาเลย เหมือนตอนลูกชายถามว่าเราสองคนพบรักกันได้อย่างไรแล้วทำไมถึงรักกัน และคุณสามีเล่าเป็นนิทานก่อนนอนได้หลายคืนก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเอามาเล่าได้เยอะแยะ เพราะจริงๆ เรื่องของเรากับเขามีเยอะแยะมาก เป็นความทรงจำของคนสองคนกับยี่สิบสองปีที่มีทุกรสชาติ พอได้นึกถึงทีไรก็อบอุ่นใจและอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้จริงๆ ค่ะ ขอบคุณคุณเอพมาก ขอให้มีแต่เรื่องดีๆ นะคะ (っ´▽`)っ

ใส่ความเห็น